Header Image
“พาณิชย์”แนะไทยเร่งยกระดับโคเนื้อ ส่งเสริมเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ชี้เป้าส่งออกไปจีน
watermark

สนค.ติดตามการนำเข้าเนื้อของโลกและของไทย ปี 66 พบนำเข้ากว่า 10.35 ล้านตัน จีนสูงสุด ตามด้วยสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ส่วนไทย นำเข้า 4.9 หมื่นตัน จากออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ เผยไทยมีการเลี้ยงโคเนื้อเพิ่มขึ้น และมีการพัฒนาคุณภาพต่อเนื่อง ทั้งเนื้อโคขุนโพนยางคำ เนื้อโคราชวากิว และโคดำลำตะคอง ชี้มีโอกาสส่งเสริมเป็นซอฟต์พาวเวอร์ และขยายส่งออกไปจีน
         
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามข้อมูลการนำเข้าเนื้อของโลกและของไทย พบว่า ปี 2566 โลกมีการนำเข้าเนื้อโคกว่า 10.35 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.85% ประเทศที่มีการนำเข้าสูงสุด ได้แก่ จีน 3.60 ล้านตัน เพิ่ม 2.80% สหรัฐฯ 1.64 ล้านตัน เพิ่ม 6.70% และญี่ปุ่น 0.75 ล้านตัน ลด 3.47% ส่วนไทยแม้จะมีผลิตภัณฑ์โคเนื้อเพื่อการค้าทั้งในและต่างประเทศ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศ โดยมีการนำเข้า 49,253 ตัน เพิ่ม 11.68% มูลค่า 7,754.94 ล้านบาท เพิ่ม 12.97%
         
สำหรับประเทศที่ไทยมีการนำเข้าสูงสุด ได้แก่ ออสเตรเลีย ปริมาณ 21,449 ตัน มูลค่า 5,402.75 ล้านบาท ญี่ปุ่น ปริมาณ 21,450 ตัน มูลค่า 782.77 ล้านบาท และนิวซีแลนด์ ปริมาณ 4,719 ตัน มูลค่า 740.26 ล้านบาท โดยผู้บริโภคไทยนิยมเนื้อโคเกรดพรีเมียม ชิ้นเนื้อใหญ่ เนื้อนุ่ม เนื้อสันมีไขมันแทรก (Marbling) ส่วนเนื้อโคสายพันธุ์ที่นิยมบริโภค เช่น เนื้อวากิวญี่ปุ่น เนื้อแองกัสออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เป็นต้น เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานการผลิต
         
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ 1.4 ล้านราย ส่วนใหญ่อยู่ภาคอีสาน ขณะที่ผลิตโคเนื้อได้มากกว่า 9.57 ล้านตัว และพยายามปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อที่เลี้ยงในไทย ให้สามารถผลิตเนื้อที่มีคุณภาพเทียบเคียงกับเนื้อนำเข้าจากต่างประเทศหลากหลายสายพันธุ์มากขึ้น อาทิ เนื้อโคขุนโพนยางคำจากจังหวัดสกลนคร เนื้อโคราชวากิว และเนื้อโคคุณภาพดีของไทย ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นเมนูอาหารขึ้นโต๊ะต้อนรับผู้นำระดับโลกในการประชุม APEC 2022 ขณะเดียวกัน มีการปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อ “โคดำลำตะคอง” จากนวัตกรรมการผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ โคพื้นเมือง วากิว และแองกัส ถือเป็นตัวอย่างการพัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อคุณภาพสูง รองรับความต้องการบริโภคในประเทศที่เปลี่ยนไปในทิศทางพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ทั้งนี้ นอกจากการยกระดับคุณภาพมาตรฐานเพื่อทดแทนการนำเข้าแล้ว สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการและเกษตรกรไทย คือ การเตรียมความพร้อมในการยกระดับเพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าโคเนื้อให้มากขึ้นในอนาคต โดยตลาดที่น่าสนใจสำหรับไทย คือ ตลาดในภูมิภาคเอเชีย อาทิ จีน ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี และเป็นประเทศที่มีการบริโภคมากที่สุดอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐฯ โดยข้อมูลล่าสุด พบว่า ในปี 2566 ปริมาณการผลิตเนื้อวัวของจีนอยู่ที่ 7.50 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการบริโภคของจีนมีมากถึง 11.06 ล้านตัน แสดงให้เห็นว่า แม้จีนจะผลิตโคเนื้อเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคในประเทศ ดังนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เติบโตเร็ว ประกอบกับราคาเนื้อวัวนำเข้ามีราคาต่ำกว่าในประเทศ ทำให้จีนมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การนำเข้าของจีนให้ความสำคัญต่อทั้งปริมาณและคุณภาพ กล่าวคือ ต้องมีปริมาณเพียงพอ มีมาตรฐานและมีการรับประกันคุณภาพด้วย ขณะเดียวกัน จีนก็มีข้อจำกัดในการนำเข้า อาทิ เป็นสายพันธุ์ลูกผสมพื้นเมือง แองกัส ชาร์โรเล่ส์ บราห์มัน ซิมเมนทอล แบรงกัส หรือพันธุ์พื้นเมืองของไทย ลาว อินเดีย และมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 350–400 กิโลกรัม วัวต้องแข็งแรง กล้ามเนื้อแน่น แผ่นหลังมีเนื้อเต็ม ผิวลื่นสวย และต้องปลอดโรคปากและเท้าเปื่อย (FDM) และโรคติดต่ออื่น ๆ จึงถือเป็นโอกาสของไทย ซึ่งไทยต้องเร่งเตรียมความพร้อมในเรื่องห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงเชือดเพื่อส่งออก วัคซีน และการตรวจสอบย้อนกลับที่มาของโคเนื้อ เพื่อรองรับการผลิตจำนวนมาก การดูแลและรักษาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน และปลอดภัยตามข้อกำหนดของจีน
         
“การวิจัยทางการตลาด เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยการวางแผนกลยุทธ์และการพัฒนาการผลิตและการตลาดตลอดจนความต้องการและรสนิยมของผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาคทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับการส่งเสริมการออกกฎระเบียบในการติดตามตรวจสอบโคเนื้อและการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบหรือนวัตกรรมสำหรับตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งระบบดังกล่าวอาจเป็นอีกเครื่องมือที่ช่วยป้องกันการลักลอบการนำเข้าโคเนื้อผิดกฎหมาย ที่ส่งผลกระทบต่อราคาในประเทศ อีกทั้งป้องกันการใช้สารเร่งเนื้อแดงที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคด้วย และหากเชื่อมโยงสินค้าโคเนื้อไทยกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ให้มากขึ้น เช่น ส่งเสริมโคเนื้อไทยให้เป็นอีกหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหาร ควบคู่กับวัฒนธรรมการบริโภคแบบไทยและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมทั้งเร่งโปรโมตคุณภาพโคเนื้อไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ และกำหนดนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยงให้ได้มาตรฐานการค้า โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดที่มีจำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อเป็นจำนวนมาก ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจจังหวัดขยายตัว ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดี และยกระดับรายได้ของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น”นายพูนพงษ์กล่าว 

 



คะแนนโหวต :
starstarstarstarstar
จำนวนการเข้าชม : 38,413